itme

itme

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การสอบกลางภาค 2/2560 (ง33201)



1.จงเขียนข้อแตกต่างระหว่าง GDSS กับ EIS มาเป็นข้อๆ


ตอบ.
DSS = เน้นการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi structured decision making) มีการใช้ข้อมูลข่าวสารจากระบบ MIS และข้อมูลจากภายนอกบางส่วนมาช่วยในการปรับปรุง หรือ กำหนดแผนงานที่จะต้องสนองเป้าหมายหลักขององค์กรให้มากที่สุด เช่น ระบบ Data miming เป็นต้น

EIS = เน้นการตัดสินใจแบบไร้โครงสร้าง (Unstructured decision making) จุดมุ่งหมายของระบบ EIS คือ ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นแนวทาง ความเป็นไปที่เป็นมา และกำลังจะมีแนวโน้มไปทางใด เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบาย เป้าหมาย หลักๆ ขององค์กรให้สามารถธำรงองค์กรไว้ได้ แข่งขันกับคู่แข่งขันได้อย่างดี ตัวอย่างเช่นระบบ วางแผนกลยุทธ์ Strategic planning เป็นต้น จะเป็นมาตรการสิ่งที่ได้จากการตัดสินใจของผู้บริหารชั้นสูงที่ใช้สั่งการไปสู่ผู้บริหารระดับกลาง เพื่อปรับแผนงานและกระทบถึงผู้บริหารระดับต้น เพื่อปฏิบัติตามแผนงาน ใหม่ต่อไป


2. จงเขียนอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ จำนวน 2 ชิ้น และ อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์ จำนวน 3 ชิ้น พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์นั้นๆ

ตอบ 1.อุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์










1. คียบอร์ด หรือ แป้นพิมพ์ (ศัพท์บัญญัติใช้ว่า แผงแป้นอักขระ) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทุกเครื่องจำเป็นต้องมี เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยปกติมักจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือใกล้เคียง มีแป้นต่างๆ ประมาณร้อยแป้นอยู่บนคีย์บอร์ด (ขึ้นอยู่กับผังแป้นพิมพ์) ซึ่งถอดแบบมาจากเครื่องพิมพ์ดีด ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับรับข้อมูลที่เป็นตัวอักขระแล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต จากนั้นจึงส่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล หรือใช้ควบคุมฟังก์ชันการทำงานบางอย่างของคอมพิวเตอร์ และเพื่อให้การป้อนข้อมูลที่เป็นอักขระและตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น คีย์บอร์ดจึงแยกแผงที่เป็นแป้นอักขระกับแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก








2. เมาส์ (อังกฤษ: mouse) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์ (pointing device) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้งานคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่าง ลักษณะ สีสัน ต่าง ๆ กัน บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพื่อให้เมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทและความชื่นชอบของผู้ใช้ เช่นมีขนาดเล็ก มีส่วนโค้งและส่วนเว้าเข้ากับอุ้งมือของผู้ใช้ มีรูปร่างสีสันแปลกตาไปจากรุ่นทั่วไป หรือเป็นรูปตัวการ์ตูน และล่าสุดได้มีการพัฒนา เมาส์อากาศ (Air Mouse) ซึ่งสามารถใช้งานเมาส์โดยถือขึ้นมาเอียงไปมาในอากาศโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นรอง ก็สามารถควบคุมตัวชี้ได้เช่นกัน
การทำงานของเมาส์ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณ์สำหรับตรวจจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้งยาง(สำหรับรุ่นเก่า)หรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสง (ในเมาส์ที่ใช้แอลอีดีหรือเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง) โดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
การเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานเมาส์ร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมีการต่อมันเข้ากับช่องต่อของคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคแรก ๆ นั้นช่องสำหรับต่อเมาส์จะมีลักษณะเป็นหัวกลมใหญ่ภายในมีขาเป็นเข็มเรียกว่าแบบ DIN ต่อมามีการพัฒนาช่องต่อเป็นแบบหัวเข็มที่เล็กลงเรียกว่า PS/2 แต่การเชื่อมต่อทั้งสองแบบนั้นไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลาย จึงมีการพัฒนาช่องต่อแบบ USB ขึ้นมา และในเวลาใกล้ ๆ กันก็ได้มีการพัฒนาการเชื่อมต่อเมาส์แบบไร้สายขึ้นมาโดยใช้สัญญาณวิทยุเป็นตัวเชื่อมต่อแทนสายเรียกว่า เมาส์ไร้สาย (Wireless mouse)
เมาส์ได้ชื่อมาจากรูปร่างของตัวมันเอง และสายไฟ ซึ่งมีลักษณะคล้ายหนู (Mouse) และหางหนู และขณะเดียวการเคลื่อนที่ของตัวชี้บนหน้าจอมีลักษณะการเคลื่อนที่ไม่มีทิศทางเหมือนการเคลื่อนที่ของหนู
2.อุปกรณ์เครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.โมเด็ม (Modem)




โมเด็มเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เมื่อข้อมูลถูกส่งมายังผู้รับละแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า มอดูเลชัน (Modulation) โมเด็มทำหน้าที่ มอดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เรียกว่า ดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเด็มหน้าที่ ดีมอดูเลเตอร์ (Demodulator)โมเด็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภทโมเด็กในปัจจุบันทำงานเป็นทั้งโมเด็มและ เครื่องโทรสาร เราเรียกว่า Faxmodem

2. การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN



เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่า
และควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มี Slot ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps
ซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน

3.เราเตอร์ (Router)

เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายที่มีขนาดหรือมาตรฐานในการส่งข้อมูลต่างกัน สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างกันได้ เราเตอร์จะทำงานอยู่ชั้น Network หน้าที่ของเราเตอร์ก็คือ ปรับโปรโตคอล (Protocol) (โปรโตคอลเป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์) ที่ต่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้

วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

แบบทดสอบ ม.5/5



1. ทรัพย์สินทางปัญญา มีความหมายว่าอย่างไร

ตอบ ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น นาฬิกา รถยนต์ โต๊ะ เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น บ้าน ที่ดิน เป็นต้น




2. สิทธิบัตร,ลิขสิทธ์ หมายถึงอะไร แตกต่างกันอย่างไร


ตอบ ลิขสิทธิ์ คือ งานสร้างสรรค์ประเภทวรรณกรรม นาฎกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียงงานแพร่เสียงแพร่ภาพหรืองานอื่นใดในแผนกวรรณคดีแผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่างานดังกล่าวจะแสดงออกโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด หรือจะพูดง่ายๆก็คือลิขสิทธิ์ เป็นผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะของมนุษย์นั่นเองครับ

สิทธิบัตร คือ หนังสือสำคัญที่ออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ จะแปลง่ายๆก็คือไม่ว่าเราจะคิดค้นสูตรอาหาร หรือประดิษฐ์อะไรขึ้นมาก็ตาม หากเราต้องการที่จะคุ้มครองสูตรหรือกระบวนการผลิตของเรา ก็สามารถนำสูตรหรือกระบวนการผลิตนั้นไปจดสิทธิบัตรเพื่อให้เกิดความคุ้มครองได้ครับ



สรุปก็คือเครื่องหมายการค้าจะใช้เพื่อแสดงว่าสินค้าเป็นของใคร ลิขสิทธิ์จะใช้ในงานศิลปะ และสิทธิบัตรจะใช้สำหรับสูตรหรือกระบวนการผลิตครับ




เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็จะสามารถแบ่งแยกได้แล้วล่ะครับว่าอย่างไหนจะเป็นเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิบัตรนะครับ ในครั้งต่อไปผมจะเขียนเพื่อเจาะลึกรายละเอียดของเครื่องหมายการค้าให้ทราบ หากต้องการสอบถามข้อกฎหมายหรือการขอใบอนุญาตต่างๆก็สอบถามได้ทาง E-Mail หรือ Facebook ได้ตลอดและผมสัญญาว่าจะตอบทุกคำถามครับ




3. เครื่องหมายการค้า หมายถึงอะไรพร้อมยกตัวอย่างรูปภาพเครื่องหมายการค้า มา 5 เครื่องหมาย

ตอบ เครื่องหมายการค้า หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้กับสินค้าหรือบริการ ซึ่งเครื่องหมายที่ให้ความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 มี 4 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือเครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เช่น บรีส มาม่า กระทิงแดง เป็นต้น




2. เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมาย บริการของบุคคลอื่น เช่น เครื่องหมายของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น

























3. เครื่องหมายรับรอง (Certification Mark) คือ เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับ สินค้าและบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพของสินค้า หรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ ฮาลาล (Halal) เป็นต้น





4.เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือวิสาหกิจในกลุ่ม เดียวกัน หรือโดยสมาชิกของสมาคม กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้าง เป็นต้น









4. พรบ.คอมพิวเตอร์ ปี2560 มีว่าอย่างไร สรุปมาเป็นข้อๆ


ตอบ


มาตรา 4


“ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ อันเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท”


มาตรา 5


กำหนดว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดใน 5 ประการ ได้แก่


1.การเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน


2.นำมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไปเปิดเผยโดยมิชอบ


3.ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน


4.ดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ


5.ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว


ทั้งหมดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาท ที่สำคัญ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท


ส่วนเรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคล ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ได้มีกระบวนการจัดการกับผู้กระทำความผิดเข้มข้นมากขึ้นด้วย


โดนบัญญัติในมาตรา 10 ว่า “ผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่นและภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”


มาตรา 10 ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้นโดยให้ผู้กระทำผิดต้องรับทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ จากเดิมที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กำหนดการกระทำความผิดในลักษณะที่ว่านั้นด้วยการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ขณะเดียวกัน ในร่างกฎหมายที่ ครม.เสนอให้ สนช.พิจารณา ยังได้บัญญัติมาตรการทางศาลเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย โดยมาตรา 11 ระบุว่า “ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง


(1) ให้ยึดและทำลายข้อมูล


(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่อที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา”


เช่นเดียวกับ มาตรา 20 ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแต่งตั้ง ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในที่นี้มีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้


(1) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้


(2) ข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 ตามประมวลกฎหมายอาญา


(3) ข้อที่เป็นความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซึ่งเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ร้องขอ และข้อมูลนั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน


(4) ข้อมูลที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่นแต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรืออันดีของประชาชน ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์




5. ให้นักเรียนค้นหาข่าวเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด พรบ. คอมพิวเตอร์ โดยนำ link มาตอบด้านล่าง


ตอบ http://news.sanook.com/2141655/

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560



ใบงานเรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์

1.โครงงาน หมายถึง อะไร
โครงงาน เป็นการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายๆสิ่งที่อยากรู้คำตอบให้ลึกซึ้ง หรือเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ ขั้นตอนการทำโครงการ 1. การคิดและเลือกหัวเรื่อง 2. การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3. การเขียนเค้าโครงของโครงงาน

2.โคครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร
หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


3.ประเภทของโครงงานอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
โครงงานคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ
1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา
เช่น โครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์
2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นโครงงานที่สร้างเครื่องมือ ใช้สร้างงาน
ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์
เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟแวร์ฝึกพิมพ์
3. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลอง
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน
5. โครงงานพัฒนาเกมส์ เพื่อความรู้ ความเพลิดเพลิน




4.นักเรียนคิดว่า ทำไม่ต้องทำโครงงาน
1. ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน ประสานงาน และติดต่อกับหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมทั้งมีการวางแผนการทำงาน
2. ทำให้กล้าคิด กล้าแสดงออก ต่อที่ประชุมชนมากขึ้น
3. ทำให้รู้จักหน้าที่ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น
4. ทำให้รู้จักการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ
5. ทำให้รู้จักการเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี
6. ทำให้เกิดการพัฒนาความคิด และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
7. ทำให้รู้จักการแบ่งเวลา และการตรงต่อเวลา
8. ทำให้รู้จักการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
9. ทำให้รู้วิธีการทำงานต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการทำงาน
10. ทำให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชามนุษย์กับหลักจริยศาสตร์ เพื่อคุณภาพชีวิต



5.ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์ (cilp video)




ใช้ร่วมกัน

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ใบงานเรื่อง ข่าวการใช้ IT ในทางที่ดีและไม่ดี

ชื่อ ข่าว "แมลงไซบอร์ก"









"แมลงไซบอร์ก" (Cybernetic insects) หรือแมลงจักรกล เป็นเหมือนเรื่องราวเหนือจริงในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่หารู้ไม่ว่ามีห้องแลปหลายแห่งทั่วโลก ที่ได้ทำการทดลองสร้าง แมลงไซบอร์ก ที่เป็นการนำเแมลงตัวเล็กๆ มาผสานรวมกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสั่งการให้มันไปทำในบางสิ่ง และมีความเป็นไปได้มากมาย ที่เราจะใช้ประโยชน์จาก แมลงไซบอร์ก เหล่านี้ นักวิจัยบางราย ควบคุมพวกมันเพื่อประโยชน์ในแง่ของการเป็นระบบรักษาความปลอดภัย พวกมันยังสามารถดมกลิ่นเพื่อตรวจหาวัตถุระเบิด และยังมีประโยชน์ในภารกิจการค้นหาผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ เพราะพวกมันสามารถเข้าไปในสถานที่ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้

แหล่งอ้างอิง:https://news.thaiware.com/10489.html

เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย เพราะ เห็นด้วยเพราะว่าในอานาคตอาจจะต้องเกิดการพัฒนาในหลายๆด้านเลยต้องมีการค้นหาสิ่งใหม่อยู่เสมอ




ชื่อ ข่าวกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่สร้างพลังทำลาย แห่งโลกโซลเชียล !




จากรายงานฉบับล่าสุดของ Trend Micro เกี่ยวกับแก๊งอาชญากรข้ามชาติ Pawn Storm (ที่มีนิกเนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น APT28, Fancy Bear, Strontium เป็นต้น) ที่รายงานถึงความเคลื่อนไหวของทีมแฮ็กเกอร์ระดับโลกนี้ ซึ่งฝากผลงานไว้มากมายและยาวนานกว่าที่เราเคยคิด โดยเฉพาะการยกระดับมาทำผลิตภัณฑ์โซลูชั่นสำหรับขายแฮ็กเกอร์รายอื่นด้วย เราพบกิจกรรมของแก๊งนี้มาตั้งแต่ 17 ปีก่อนหน้า ซึ่งเน้นทำตลาดโจมตีกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ, ทหาร, สื่อมวลชน, และองค์กรทางการเมืองต่างๆ ทั่วโลก ในรายงานฉบับนี้จะกล่าวถึงการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายมาเน้นการหลอกลวงหรือสร้างข่าวลวงทางไซเบอร์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แถมมีความเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้นถึงสี่เท่าภายในปีที่แล้วปีเดียว




แหล่งอ้างอิง : http://www.ryt9.com/s/prg/2659991


ไม่เห็นด้วย เพราะว่า ทำให้มีการหลวกหลอกข้อมูลได้และทำให้คนอื่นเสียหายได้มากมายมหาศาล

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใบงานเรื่ิอง พรบ.คอมพิวเตอร์


พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2560


ก่อนหน้านี้ ร่างพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ ผ่านการเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา ล่าสุดประกาศลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว โดยมีชื่อว่า “พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560” ( พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี2560)

โดยรายละเอียด พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ( พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี2560) สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา (คลิกที่นี่)

ทั้งนี้ในมาตรา 2 ของพระราชบัญญัตินี้ ระบุว่า ให้บังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา นั่นหมายความว่าจะบังคับใช้ภายใน 31 พฤษภาคม 2560

พ.ร.บ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี 2560 คือร่างแก้ใขของ พ.ร.บ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ปี 2550 ที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ดังนั้นโครงสร้างของกฎหมายสองฉบับจึงเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนกฏหมายทั้งสองฉบับก็ต้องมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่หลายประเด็น และหลายๆ ประเด็นก็ถูกตั้งคำถามมากมายว่าเป็นธรรมหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่?

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2560 ถูกเริ่มร่างเมื่อปี 2558 และยังคงแก้ใขต่อเนื่องมาถึงปี 2559 ดังนั้น พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2558 ก็คือฉบับเดียวกันกับพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2560 นั่นเอง
ข้อแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2550 กับ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2560


เนื้อหาสำคัญของ พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ปี 2560 ที่นำเสนอมีดังนี้
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 28 เม.ย. จะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ …) พ.ศ… วาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่ปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนที่อยู่เดิมในพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

ทั้งนี้ ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุถึงเหตุผลที่ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับปัจจุบันว่า “พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน…….ซึ่งมีรูปแบบการกระทำความผิดที่มีความซับซ้อนมากขึ้นตามพัฒนาการทางเทคโนโลยี ซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

สำหรับเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญดังนี้

มาตรา 4

“ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์สามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้ อันเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

มาตรา 5

กำหนดว่า ถ้าผู้ใดกระทำผิดใน 5 ประการ ได้แก่

1.การเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกัน

2.นำมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไปเปิดเผยโดยมิชอบ

3.ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน

4.ดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ และ

5.ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่น โดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว

ทั้งหมดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 140,000 บาท ที่สำคัญ ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 200,000 บาท

ส่วนเรื่องการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างความเสียหายให้กับบุคคล ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ได้มีกระบวนการจัดการกับผู้กระทำความผิดเข้มข้นมากขึ้นด้วย

โดนบัญญัติในมาตรา 10 ว่า “ผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่นและภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท”

มาตรา 10 ดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษให้มากขึ้นโดยให้ผู้กระทำผิดต้องรับทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ จากเดิมที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กำหนดการกระทำความผิดในลักษณะที่ว่านั้นด้วยการต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะเดียวกัน ในร่างกฎหมายที่ ครม.เสนอให้ สนช.พิจารณา ยังได้บัญญัติมาตรการทางศาลเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายด้วย โดยมาตรา 11 ระบุว่า “ในคดีซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง

(1) ให้ยึดและทำลายข้อมูล

(2) ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสื่อที่ใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา”

เช่นเดียวกับ มาตรา 20 ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแต่งตั้ง ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับการเผยแพร่หรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ในที่นี้มีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้

(1) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.นี้

(2) ข้อมูลที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรที่กำหนดไว้ในภาคสองลักษณะ 1 หรือลักษณะ 1/1 ตามประมวลกฎหมายอาญา

(3) ข้อที่เป็นความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซึ่งเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้นได้ร้องขอ และข้อมูลนั้นมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

(4) ข้อมูลที่ไม่เป็นความผิดต่อกฎหมายอื่นแต่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรืออันดีของประชาชน ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่รัฐมนตรีมีมติเป็นเอกฉันท์




ใบงานที่1เรื่องกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ




1.ความหมายของกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ ขั้นตอนการแก้ปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทรัพยากรให้เป็นผลผลิตหรือผลลัพธ์ระบบเทคโนโลยีประกอบด้วยกระบวนการเทคโนโลยีก่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย ตามที่มนุษย์ต้องการและเปลี่ยนแปลงการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีความต้องการในการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในการดำรงชีวิต ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้น และบางครั้งปัญหาอาจเกิดการผลิตสิ่งของต่างๆไม่ตรงตามความต้องการไม่ได้คุณภาพจึงต้องมีการออกแบบ เพื่อจะนำมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว

2.ขั้นตอนของกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ


ตอบ กระบวนการเทคโลยีสารสนเทศมี6ขั้นตอน
1.การรวบรวมข้อมูล
วิธีการดำเนินการ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล และบันทึกข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อการประมวลผล เช่น บันทึกในแฟ้ม เอกสาร บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ จดบันทึกไว้ในสมุด เป็นต้น
2.การตรวจสอบข้อมูล
ขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น การตรวจสอบ เพื่อหาข้อผิดพลาด ความน่าเชื่อถือ ความสมเหตุสมผล เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้รับการรวบรวมและบันทึกไว้อย่างถูกต้อง
3.การประมวลผลข้อมูล
หมายถึง วิธีการดำเนินการกระทำข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ ข้อมูล การประมวลผลสารสนเทศข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง ที่เกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆหรือสิ่งที่ยอมรับว่าเป็นความจริง สำหรับใช้เป็นหลักอนุมาน
สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ว เพื่อให้มีความหมายและคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เช่น ปริมาณการขายสินค้าแต่ละตัว จำแนกตามเขตการขาย
การนำข้อมูลไปประมวลผล
4.การจัดเก็บข้อมูล
การเก็บรักษาข้อมูลเพื่อการบริหาร โดยเก็บไว้ในรูปแบบต่างๆ
5.การคิดวิเคราะห์
ขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อสรุปความสำคัญของข้อมูลสารสนเทศให้ตรงสภาพที่เป็นจริงตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนที่จะนำข้อมูลมาใช้
6.การนำข้อมูลไปใช้
การนำข้อมูลไปใช้ในลักษณะต่างๆ


3.ขั้นตอนการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ 1) การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา (State The Problem)ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกสุดก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหา
แต่ผู้แก้ปัญหามักจะมองข้ามไปจุดประสงค์ของขั้นตอนนี้ คือการทำความเข้าใจกับปัญหาเพื่อแยกให้ออกว่าข้อมูลที่กำหนดมาในปัญหาหรือเงื่อนไขของปัญหาคืออะไร อีกทั้งวิธีการที่ใช้ประมวลผลกล่าวโดยสรุปมีองค์ประกอบในการวิเคราะห์ดังนี้
การระบุข้อมูลเข้า
ได้แก่ การพิจารณาข้อมูลและเงื่อนไขที่กำหนดมาในปัญหา
การระบุข้อมูลออก
ได้แก่ การพิจารณาเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องหาคำตอบ
การกำหนดวิธีประมวลผล
ได้แก่ การพิจารณาขั้นตอนวิธีการได้มาซึ่งคำตอบหรือข้อมูลออก


2) การเลือกเครื่องมือและออกแบบขั้นตอนวิธี (Tools And Algorithm Development)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากที่เราทำความเข้าใจกับปัญหา พิจารณาเงื่อนไขและข้อมูลที่มีอยู่และสิ่งที่ต้องการหาในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนหลังจากที่เราทำความเข้าใจกับปัญหา พิจารณาเงื่อนไขและข้อมูลที่มีอยู่และสิ่งที่ต้องการหาในขั้นตอนที่ 1แล้วเราสามารถคาดคะเนวิธีการที่จะใช้ในการแก้ปัญหาขั้นตอนนี้จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้แก้ปัญหาเป็นหลักหากผู้แก้ปัญหาเคยพบกับปัญหาทำนองนี้มาแล้วก็สามารถดำเนินการตามแนวทางที่เคยปฏิบัติมา


3) การดำเนินการแก้ปัญหา (Implementation) หลังจากที่ออกแบบขั้นตอนวิธีเรียบร้อยแล้ว
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องลงมือแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือที่เลือกไว้
การแก้ปัญหาดังกล่าวใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยงาน ขั้นตอนนี้ก็เป็นการใช้โปรแกรมสำเร็จหรือใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เขียนโปรแกรมแก้ ปัญหาขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือที่เลือกใช้ซึ่งผู้แก้ปัญหาต้องศึกษาให้เข้าใจและเชี่ยวชาญ ในขณะดำเนินการหากพบแนวทางที่ดีกว่าที่ออกแบบไว้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้


4) การตรวจสอบและปรับปรุง (Refinement)
หลังจากที่ลงมือแก้ปัญหาแล้วต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า
วิธีการนี้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องโดยผู้แก้ปัญหาต้องตรวจสอบว่าขั้นตอนวิธีที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับรายละเอียดของปัญหา ซึ่งได้แก่ ข้อมูลเข้าและข้อมูลออกเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรองรับข้อมูลเข้าได้ทุกกรณีอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับปรุงวิธีการเพื่อให้การแก้ปัญหานี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ใบงานที่2 เรื่อง การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา




มีวิธีการดังนี้
   1.วิเคราะห์สิ่งที่ต้องการ โดยวิเคราะห์ว่าต้องการแก้ปัญหาอะไร? ผลผลิตอะไร?หรืองานอะไร? แล้วกำหนดวัตถุประสงค์สิ่งที่ต้องการนั้น เช่น ต้องการแก้ปัญหาการขาดทุนของร้านเช่าหนังสือ

   2.วิเคราห์ผลลัพธ์ ที่ต้องการโดยวิเคราะห์สิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการแก้ปัญหาที่ต้องการมากกว่า 1 ข้อ เช่น มีความสะดวกรวดเร็วในการเช่าหนังสือ ป้องกันไม่ให้หนังสือหาย มีกำไรมากยิ่งขึ้น

   3.วิเคราะห์ทรัพยากร โดยคำนึงถึงทรัพยากรที่นำมาใช้แก้ปัญหาซึ่งควรเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก เช่น วัสดุอุปกรณ์ ความรู้ของบุคลากร แรงงาน งบประมาณ

   4.วิเคราะห์ตัวแปรหรือผลกระทบในด้านต่างๆ เช่น ทำไมหนังสือสูญหาย พนักงานไม่มาทำงานบ่อย

   5.วิเคราะห์วิธีการแก้ปัญหา เช่น เก็บค่าสมาชิกสูงขึ้น โดยผ่านกระบวนการความคิดเช่น ทำได้จริงหรือไม่ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่


ใบงานเรื่อง บริการต่างๆบนอินเทอร์เน็ต

1. เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW) เวิลด์ไวด์เว็บ หรือเครือข่ายใยแมงมุม เหตุที่เรียกชื่อนี้เพราะว่าเป็นลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูล จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเรื่อยๆ เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในการเรียกดูเว็บไซต์ต้องอาศัยโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ในการดูข้อมูล เว็บเบราว์เซอร์ที่ได้รับความนิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรม Internet Explorer (IE) , Netscape Navigator



2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การติดต่อสื่อสารโดยใช้อีเมลสามารถทำได้โดยสะดวก และประหยัดเวลา หลักการทำงานของอีเมลก็คล้ายกับการส่งจดหมายธรรมดา นั้นคือ จะต้องมีที่อยู่ที่ระบุชัดเจน ก็คือ


อีเมลแอดเดรส (E-mail address)


องค์ประกอบของ e-mail address ประกอบด้วย


1. ชื่อผู้ใช้ (User name)


2. ชื่อโดเมน


Username@domain_name


การใช้งานอีเมล สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ


1. Corporate e-mail คือ อีเมล ที่หน่วยงานต่างๆสร้างขึ้นให้กับพนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น เช่น u47202000@dusit.ac.th คือ e-mail ของนักศึกษาของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น


2. Free e-mail คือ อีเมล ที่สามารถสมัครได้ฟรีตาม web mail ต่างๆ เช่น Hotmail, Yahoo Mail, Thai Mail และ Chaiyo Mail







3. บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต


1. Web directory คือ การค้นหาโดยการเลือก Directory ที่จัดเตรียมและแยกหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว website ที่ให้บริการ web directory เช่น www.yahoo.com, www.sanook.com


2. Search Engine คือ การค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Search โดยการเอาคำที่เราต้องการค้นหาไปเทียบกับเว็บไซต์ต่างๆ ว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างที่มีคำที่เราต้องการค้นหา website ที่ให้บริการ search engine เช่น www.yahoo.com, www.sanook.com, www.google.co.th, www.sansarn.com





3. Metasearch คือ การค้นหาข้อมูลแบบ Search engine แต่จะทำการส่งคำที่ต้องการไปค้นหาในเว็บไซต์ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลอื่นๆ อีก ถ้าข้อมูลที่ได้มีซ้ำกัน ก็จะแสดงเพียงรายการเดียว เว็บไซต์ที่ให้บริการ Metasearch เช่นwww.search.com, www.thaifind.com







วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 1 เรื่อง internet


  1.Internet หมายถึง
    
      ตอบ  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

 2.ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต
    
      ตอบ อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
 
3.ประเภทของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ตอบ การเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานเป็นสำคัญ เช่นใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลที่บ้าน ใช้ในเชิงธุรกิจ ใช้เพื่อความบันเทิง หรือใช้ภายในองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตจึงมีความแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความต้องการ รวมทั้งเงินทุนที่จะใช้ในการติดตั้งระบบด้วย ปัจจุบันการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่นิยมใช้มี ลักษณะ คือ
1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up
2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN (Internet Services Digital Network)
3. การเชื่อมต่อแบบ DSL (Digital Subscriber Line)
4. การเชื่อมต่อแบบ Cable
5. การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites)

วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 10 รูปแบบของคำสั่ง HTML


คำสั่งในภาษา HTML






   
 คำสั่งพื้นฐาน
< !-- ข้อความ -->คำสั่ง หมายเหตุ ใช้อธิบายความหมาย ขื่อผู้เขียนโปรแกรม และอื่นๆ
<br>คำสั่งขึ้นบรรทัดใหม่
<p> ข้อความ </p>คำสั่งย่อหน้าใหม่
<hr width="50%" size = "3">คำสั่ง ตีเส้น, กำหนดขนาดเส้น
&nbsp;คำสั่ง เพิ่มช่องว่าง
<IMG SRC = "PHOTO.GIF">คำสั่งแสดงรูปภาพชื่อ Photo.gif
<CENTER> ข้อความ </CENTER>คำสั่งจัดให้ข้อความอยู่กึ่งกลาง
<HTML> </HTML>คำสั่ง <HTML> คือคำสั่งเริ่มต้นในการเขียนโปรแกรม HTML และมีคำสั่ง </HTML> เพื่อบอกจุดสิ้นสุดโปรแกรม
<HEAD> </HEAD>คำสั่ง <HEAD> คือคำสั่งบอกส่วนที่เป็นชื่อเรื่อง โดยมีคำสั่งย่อย <TITLE> อยู่ภายใน
<TITLE> </TITLE>คำสั่ง <TITLE> คือคำสั่งบอกชื่อเรื่อง จะไปปรากฏที่ Title Bar
<BODY> </BODY>คำสั่ง <BODY> คือคำสั่งบอกส่วนเนื้อเรื่อง ที่จะถูกแสดงผลในเวปบราวเซอร์ ประกอบด้วยรูปภาพ ตัวอักษร ตาราง เป็นต้น
    รูปแบบตัวอักษร
<font size = "3"> ข้อความ </font>ขนาดตัวอักษร
<font color = "red"> ข้อความ </font>สีตัวอักษร
<font face = "Arial"> ข้อความ </font>รูปแบบตัวอักษร
<besefont size = "2"> ข้อความ </font>กำหนดค่าเริ่มต้นของขนาดตัวอักษร
<b> ข้อความ </b>ตัวอักษรหนา
<i> ข้อความ </i>ตัวอักษรเอน
<u> ข้อความ </u>ขีดเส้นใต้ตัวอักษร
<tt> ข้อความ </tt>ตัวอักษรแบบพิมพ์ดีด

หมายเหตุ เราสามารถใช้คำสั่งกำหนดรูปแบบตัวอักษร หลายๆรูปแบบได้ เช่น
<font face = "Arial" size = "3" color = "red"> ข้อความ </font> เป็นต้น
    จุดเชื่อมโยงข้อมูล
<a href ="#news"> Hot News </a> ,
<a name ="news">
กำหนดจุดเชื่อมชื่อ news ส่วน "a name" คือตำแหน่งที่ลิงค์ไป (เอกสารเดียวกัน)
<a href ="news.html"> Hot News </a>สร้างลิงค์ไปยังเอกสารชื่อ "news.html"
<a href ="http://www.thai.com"> Thai </a>สร้างลิงค์ไปยังเวปไซท์อื่น
<a href ="http://www.thai.com" target = "_blank" > Thai </a>สร้างลิงค์ไปยังเวปไซท์อื่น และเปิดหน้าต่างใหม่
<a href ="http://www.thai.com"> <img src = "photo.gif"> </a>สร้างลิงค์โดยใช้รูปภาพชื่อ photo.gif เป็นตัวเชื่อม
<a href ="mailto:yo@mail.com"> Email </a>สร้างลิงค์มายังอีเมล
    การแสดงผลแบบรายการแบบมีหมายเลขกำกับ
<OL value = "1" >
    <LI> รายการที่ 1
    <LI> รายการที่ 2
</OL>
 
การแสดงผลแบบรายการ ใช้คำสั่ง <OL> เป็นเริ่มและปิดท้ายด้วย </OL> ส่วนคำสั่ง <LI> เป็นตำแหน่งของรายการที่ต้องการนำเสนอ เราสามารถกำหนดให้แสดงผลรายการได้หลายแบบเช่น เรียงลำดับ 1,2,3... หรือ I,II,III... หรือ A,B,C,... ได้ทั้งนี้จะต้องเพิ่มคำสั่งเข้าไปที่ <OL value = "A"> เป็นต้น
    การแสดงผลแบบรายการแบบมีสัญลักษณ์กำกับ
<UL type = "square">
    <LI> รายการที่ 1
    <LI> รายการที่ 2
</UL>
 
การแสดงผลแบบรายการ ใช้คำสั่ง <UL> เป็นเริ่มและปิดท้ายด้วย </UL> ส่วนคำสั่ง <LI> เป็นตำแหน่งของรายการ ที่ต้องการนำเสนอ เราสามารถกำหนดให้แสดงผลรายการแบบต่างๆ ดังต่อไปนี้

- รูปวงกลมทึบ "disc"
- รูปวงกลมโปร่ง "circle"
- รูปสี่เหลี่ยม "square"

ได้ทั้งนี้จะต้องเพิ่มคำสั่งเข้าไปที่ <UL type = "square"> เป็นต้น


    การสร้างตาราง
<TABLE BORDER = "2" >
<CAPTION> การสร้างตาราง </CAPTION>
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR>
</TABLE>


ผลลัพธ์ที่ได้ 
 

การสร้างตาราง
หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2
การสร้างตาราง ใช้คำสั่ง <TABLE> เป็นเริ่มและปิดท้ายด้วย </TABLE> ส่วน BORDER เป็นคำสั่งย่อยเพื่อใช้ กำหนดขนาดของเส้นตาราง ถ้ากำหนด = "0" จะหมายถึงไม่มีเส้น

- คำสั่ง <CAPTION> และ< /CAPTION> เป็นคำสั่งแสดงข้อความอธิบายชื่อตาราง
- คำสั่ง <TR> และ< /TR> เป็นคำสั่งเพื่อกำหนดแถวในตาราง
- คำสั่ง <TH> และ< /TH> เป็นคำสั่งเพื่อกำหนดหัวเรื่อง ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวอักษรจะหนากว่าปกติ (ดูตัวอย่างประกอบ)
- คำสั่ง <TD> และ< /TD> เป็นคำสั่งแสดงข้อมูลปกติ

ความหมายของคำสั่ง Table 
- TR หมายถึง Table Row
- TH หมายถึง Table Head
- TD หมายถึง Table Data
 

    ขนาดของตาราง
กำหนดความกว้างและความสูงของตาราง 
<TABLE width="50%" height = "60%" >
<CAPTION> ขนาดของตาราง </CAPTION>
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 
 

การตกแต่งตาราง
หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2


กำหนดความสูงของแถว (row) 
<TABLE width="50%">
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD rowspan = "2" > ข้อมูล 2 </TD> </TR>
    <TR> <TD> ข้อมูล 3 </TD> </TR>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 

 

หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2
ข้อมูล 3


กำหนดความกว้างของคอลัมภ์ (column) 
<TABLE width="50%">
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR>
    <TR> <TD colspan="2" > ข้อมูล 3 </TD> </TR>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 

 

หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2
ข้อมูล 3


ตารางซ้อนตาราง 
<TABLE width="50%">
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR>
    <TR> <TD> ข้อมูล 3 </TD>
<TABLE width="50%">
    <TR> <TD> ข้อมูล 4 </TD>
    <TD> ข้อมูล 5 </TD> </TR>
</TABLE>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 

 


หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2
ข้อมูล 3
ข้อมูล 4ข้อมูล 5


คำอธิบาย 
การทำตารางซ้อนตาราง มักจะใช้ในกรณีเพื่อ อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ของข้อมูล

 
การตกแต่งตาราง ใช้คำสั่ง Width และ Height เป็นคำสั่งในการกำหนดขนาดของตาราง เปรียบเทียบกับ จอภาพ เช่น กำหนด width="50%" หมายถึง กำหนดความกว้างของตารางให้มีขนาด 50 % เมื่อวัดตามความกว้างของจอภาพ เป็นต้น

โดยปกติเราจะกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น <TABLE width="50%" >

คำสั่งเสริมเพิ่มเติม 
- rowspan
เป็นคำสั่งในการกำหนดความสูงของแถวในตาราง โดยใช้งานร่วมกับคำสั่ง <TD> (ดูภาพทางซ้ายมือประกอบ)
- colspan
เป็นคำสั่งในการกำหนดความกว้างของคอลัมภ์ในตาราง โดยใช้งานร่วมกับคำสั่ง <TD> (ดูภาพทางซ้ายมือประกอบ)


 
    สีกับตาราง
สีฉากหลังของตาราง 
<TABLE width="50%" bgcolor = "red" >
<CAPTION> สีฉากหลังของตาราง </CAPTION>
    <TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD>
    <TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 

 

สีฉากหลังของตาราง
หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2


กำหนดสีแต่ละช่องในตาราง 
<TABLE width="50%">
    <TR> <TH bgcolor = "brown" > หัวเรื่อง 1 </TH>
    <TH bgcolor = "white"> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR>

    <TR> <TD bgcolor = "green" > ข้อมูล 1 </TD>
    <TD bgcolor = "blue" > ข้อมูล 2 </TD> </TR>
</TABLE>

ผลลัพธ์ที่ได้ 

 

หัวเรื่อง 1หัวเรื่อง 2
ข้อมูล 1ข้อมูล 2


คำอธิบาย 
ถ้าต้องการใส่สีกรอบของตาราง สามารถเพิ่มคำ ดังนี้ <TABLE bgcolor = "red">

 
เราสามารถกำหนดสีของ background ของตารางได้ โดยสามารถกำหนดได้ทั้งตาราง หรือ กำหนดเป็นแต่ละช่องได้

คำสั่งเสริมเพิ่มเติม 
- bgcolor
เป็นคำสั่งในการกำหนดสีในตาราง เป็นคำสั่งเสริมของคำสั่ง <Table> และสามารถใช้งานร่วมกับคำสั่ง <TH> หรือ <TD> ได้ด้วย (ดูตัวอย่างประกอบ)

การกำหนดสีสามารถกำหนดเป็นรหัสสีได้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จาก ตารางสีตัวอย่างเช่น
<TD bgcolor = " #3232CD" >
หมายถึงสี Medium Bule เป็นต้น


 
    การสร้างแบบฟอร์ม
<FORM METHOD = "post/get"
ACTION = "URL">

    ...ข้อมูลของฟอร์ม...

</FORM>

ข้อมูลของฟอร์ม คือส่วนที่สามารถเพิ่มคำสั่งได้หลายรูปแบบ ดูหัวข้อต่อไป
การสร้างแบบฟอร์ม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายๆอย่าง เช่น การสร้างแบบสอบถาม แบบฟอร์มแสดงความคิดเห็น เป็นต้น ซึ่งการสร้างฟอร์มมักจะต้องใช้คำสั่งที่เรียกว่า "CGI" หรือ javascript ช่วยในการรับและส่งข้อมูล ในที่นี้ขอละไว้ก่อน แต่จะแนะนำ การส่งฟอร์ม ที่ใช้คำสั่งให้ลิงค์กลับมายังอีเมล์ของเรา ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สวยงามนัก.. แต่ก็พอใช้ได้ (ดูข้อถัดไป)

<FORM> คือคำสังเริ่มการใช้ฟอร์ม และปิดท้ายด้วย </FORM> ส่วนคำสั่ง "METHOD" เป็นคำสั่งที่บอกว่าจะรับ "GET" หรือส่งข้อมูล "POST: ไปที่ไหน โดยมีคำสั่ง "ACTION" เป็นตัวกำหนด
    รูปแบบของฟอร์มประเภทต่างๆ
ประเภทกรอบป้อนข้อมูล 
<FORM>

<TEXTAREA NAME = "comment" ROWS="5" COLS="60"> </TEXTAREA>

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

ประเภทกรอบแบบสอบถาม 
<FORM>

Name : <INPUT TYPE='TEXT' NAME = "YOURNAME" size="15" >

PHONE : <INPUT TYPE='TEXT' NAME = "PHONE" size="15" >

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

Name    : 
PHONE : 
ประเภทกรอบ PASSWORD 
<FORM>

YOUR Password : <INPUT TYPE='PASSWORD' NAME = "CODE" size="15" >

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

Your Password    : 
ลองกรอกข้อมูลในกรอบดู!

ประเภท Check Box 
<FORM>

<INPUT TYPE='CHECKBOX' NAME = "ONE" VALUE ="value1" > Answer 1

<INPUT TYPE='CHECKBOX' NAME = "TWO" value="value2" > Answer 2

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

 Answer 1  Answer 2
ประเภท Radio 
<FORM>

<INPUT TYPE='RADIO' NAME = "ONE" VALUE ="value1" > Answer 1

<INPUT TYPE='RADIO' NAME = "TWO" value="value2" > Answer 2

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

 Answer 1  Answer 2
ประเภทตัวเลือก 
<FORM>

<SELECT name= "ICECREAM">
<OPTION SELECTED value="VANI"> Vanilla
<OPTION value="CHOC" > Chocolate
<OPTION value="COFF" > Coffee
<OPTION value="STRA" > Strawberry
</SELECT>


</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

ประเภท Submit & Reset 
<FORM>

ยืนยันการส่งข้อมูล
<INPUT TYPE='SUBMIT' VALUE ="Send">
<INPUT TYPE='RESET' VALUE ="Reset">

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

ยืนยันการส่งข้อมูล
 
Sumbit เป็นคำสั่งในการส่งข้อมูล
Reset เป็นคำสั่งในการเคลียร์ข้อมูล
 
รูปแบบการสร้างฟอร์ม มีหลายรูปแบบ เราสามารถนำแต่ละรูปแบบผสมผสานกันได้ เช่น การผสมระหว่าง รูปแบบกรอบป้อนข้อมูล กับ กรอบแบบสอบถาม เป็นต้น

อย่างที่กล่าวข้างต้น การนำฟอร์มมาใช้ใน เวปเพจจะต้องมีการนำโปรแกรมช่วยในการส่งข้อมูล ซึ่งอาจเป็น ปัญหายุ่งยากสำหรับมือใหม่ ดังนั้นขอยกตัวอย่างการสร้างฟอร์ม แล้วให้ส่งกลับมายังอีเมลของเรา ดังนี้

ตัวอย่างการสร้างฟอร์มกลับมาอีเมลของเรา

<FORM METHOD = "post"
ACTION = "mailto:sskulrat@yahoo.com">

Name : <INPUT TYPE='TEXT' NAME = "YOURNAME" size="15">

PHONE : <INPUT TYPE='TEXT' NAME = "PHONE" size="15">

<INPUT TYPE='SUBMIT' VALUE ="Send">
<INPUT TYPE='RESET' VALUE ="Reset">

</FORM>

ผลลัพธ์ที่ได้
 

Name    : 
PHONE : 
 
ขอเชิญลองกรอกข้อมูล แล้วกดปุ่ม Reset ดู
    แบ่งพื้นที่จอภาพ
<FRAMESET COLS or ROWS = "80%,*" >
<FRAME SRC = "URL" หรือ ไฟล์รูปภาพ >
<FRAME SRC = "URL" หรือ ไฟล์รูปภาพ >

</FRAMESET>

แบ่งจอภาพในแนวตั้ง 

<FRAMESET COLS = "80%,*" >

<FRAME SRC = "main.html" >
<FRAME SRC = "menu.gif" >

</FRAMESET>

 


 

80%

 

 

20%

 

คำอธิบาย
แบ่งหน้าจอเป็น 2 ส่วน ในแนวตั้ง ส่วนทางซ้ายมีพื้นที่ 80% ของหน้าจอทั้งหมด ส่วนทางขวาคือพื้นที่ที่เหลือ (20%) จอทางขวาจะมีรูปภาพชื่อ menu.gif


แบ่งจอภาพในแนวนอน 

<FRAMESET ROWS = "80%,*" >

<FRAME SRC = "main.html" >
<FRAME SRC = "menu.gif" >

</FRAMESET>

 

20%

 

80%

 

คำอธิบาย
แบ่งหน้าจอเป็น 2 ส่วน ในแนวนอน ด้านบนพื้นที่ 20% ส่วนด้านล่างมีพื้นที่ 80%

แบ่งจอภาพในแนวตั้งและแนวนอน 

<FRAMESET ROWS = "15%,*" >

   <FRAME SRC = "top.html" >

     <FRAMESET COLS = "20%,80%" >

     <FRAME SRC = "left.html" >
     <FRAME SRC = "right.html" >

     </FRAMESET>

</FRAMESET>

 

15%

 

20%

 
80%

คำอธิบาย
แบ่งหน้าจอทั้งหมดเป็น 3 ส่วน ด้านบนพื้นที่ 15% ส่วนด้านล่างมีพื้นที่ 85% ในพื้นที่ด้านล่างแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้านซ้าย 20% ด้านขวา 80%
 
การแบ่งพื้นที่จอภาพ สามารถแบ่งได้ทั้งแถวตั้ง และแนวนอน สามารถจะแบ่งเท่าไหร่ก็ได้ ขึ้นกับผู้เขียน แต่อย่างไรก็ตาม ควรมีการกำหนดสัดส่วนให้ตรงกับข้อมูล หรือรูปภาพที่นำมาลงในเวปด้วย...

<FRAMESET> เป็นคำสั่งเริ่มต้นการแบ่งหน้าจอ และปิดท้ายด้วย </FRAMESET>
คำสั่งนี้ จะมาแทนที่คำสั่ง <BODY>

<FRAME SRC > เป็นคำสั่งย่อยของ FRAMESET เพื่อกำหนดการแสดงผลข้อมูลว่า จะแสดงเป็น HTML อีกไฟล์ หรือจะให้แสดงเป็นรูปภาพก็ได้

จากตัวอย่างด้านซ้าย เรากำหนดขนาดของจอภาพเป็นเปอร์เซ็นต์ 80%,* (เครื่องหมาย * หมายถึง ขนาดขอจอภาพที่เหลือ) นอกจากนี้เรายังสามารถกำหนดเป็น pixel ได้ด้วย เช่น 500,100 เป็นต้น

คำสั่งเสริมเพิ่มเติม 
กำหนดตำแหน่งข้อความตามแนวนอน
align = "left"
align = "center"
align = "right"

กำหนดตำแหน่งข้อความตามแนวตั้ง
valign=top
valign = "middle"
valign = "bottom"

รูปแบบคำสั่ง
<TR ALIGN= "CENTER" >
หรือ <TR VALIGN= "TOP" >

ตั้งชื่อพื้นที่ 
หลังจากมีการแบ่งพื้นที่จอภาพแล้ว อาจจำเป็นที่เราต้อง ตั้งชื่อพื้นที่ เนื่องจากการสร้างจุดลิงค์เพื่อให้แสดง ในพื้นที่ที่ต้องการ ดังตัวอย่างนี้

<FRAME SRC = "right.html" name = "show" >
สร้างลิงค์ให้แสดงในพื้นที่ที่มีชื่อว่า show
<a href = "page2.html" target = "show">

 

ใบงานที่ 9 ความหมายของ HTML

ความหมายของ HTML
<HTML>
<HEAD>
<TITLE> ชื่อโปรแกรมหรือข้อมูลที่ต้องการแสดงในส่วนหัว </TITLE>
</HEAD>
<BODY>
คำสั่งหรือข้อความที่ต้องการให้แสดง
</BODY>
</HTML>
 
<html> และ </html> เป็น tag ที่ใช้เพื่อกำหนดว่าเอกสารต่อไปนี้เป็นเอกสารที่ใช้ภาษา HTML เป็นMarkup Language และจะไม่ปรากฏในโปรแกรม Web Browser
<html>
                <head>
                                <title> การกำหนด background </title>
                </head>
                <body bgcolor="ใส่ชื่อสีหรือรหัสสีที่ต้องการ">
                </body>
</html>
 
Text Box: <html>
 <head>
  <title> การกำหนด background </title>
 </head>
 <body background="ใส่ชื่อและนามสกุลภาพลงไป เช่น pic1.jpg">
 </body>
</html>

HTML
HTML หรือ HyperText Markup Language เป็นภาษาคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ที่มีโครงสร้างการเขียนโดยอาศัยตัวกำกับ (Tag) ควบคุมการแสดงผลข้อความรูปภาพ หรือวัตถุอื่นๆ ผ่านโปรแกรมบราวเซอร์ แต่ละ Tag อาจจะมีส่วนขยายที่เรียกว่า Attribute สำหรับระบุ หรือควบคุมการแสดงผลของเว็บได้ด้วยHTML เป็นภาษาที่ถูกพัฒนาโดย World Wide Web Consortium (W3C) จากแม่แบบของภาษาSGML (Standard Generalized Markup Language) โดยตัดความสามารถบางส่วนออกไป เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ได้ง่าย และด้วยประเด็นดังกล่าว ทำให้บริการ WWW เติบโตขยายตัวอย่างกว้างขวางตามไปด้วย Tag
Tag เป็นลักษณะเฉพาะของภาษา HTML ใช้ในการระบุรูปแบบคำสั่ง หรือการลงรหัสคำสั่งHTML ภายในเครื่องหมาย less-than bracket ( < ) และ greater-than bracket ( > ) โดยที่ Tag HTML แบ่งได้ ลักษณะ คือ
·       Tag เดี่ยว  เป็น Tag ที่ไม่ต้องมีการปิดรหัส เช่น <HR>, <BR> เป็นต้น
·       Tag เปิด/ปิด  เป็น Tag ที่ประกอบด้วย Tag เปิด และ Tag ปิด โดย Tag ปิด จะมีเครื่องหมาย slash ( / ) นำหน้าคำสั่งใน Tag นั้นๆ เช่น <B>…</B>, <BLINK>…</BLINK> เป็นต้น
1.              เริ่มต้นการเขียน HTML
        การเขียนภาษา HTML ประกอบไปด้วย ส่วน  คือ
1.        เครื่องมือที่ใช้เขียนโปรแกรม  คือ Text Editor  เช่น Notepad , EditPlus  เป็นต้น
2.       โปรแกรมแสดงผล  คือ  web browser (เว็บ บราวเซอร์) เช่น Internet Explorer, Netscapeเป็นต้น

2.              โครงสร้างพื้นฐานของ HTML
โครงสร้างของ HTML จะประกอบไปด้วยส่วนของคำสั่ง ส่วน คือ ส่วนที่เป็น ส่วนหัว (Head) และส่วนที่เป็นเนื้อหา (Body) โดยมีรูปแบบคำสั่งดังนี้










โดยแต่และส่วนสามารถอธิบายความหมายได้ดังนี้ 
<head> และ </head> เป็น tag ที่ใช้กำหนดส่วนหัวของเอกสาร Head ไม่ได้เป็นส่วนของเอกสารภายใน แต่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารฉบับนี้
<title> และ </title> เป็นการระบุข้อความที่ต้องการให้เป็นส่วนหัวของเอกสาร Title จะเป็นส่วนหนึ่งของ Head โดยข้อความที่อยู่ใน Title จะไปปรากฏอยู่ที่ส่วนบนสุดของ Web Browser
<body> และ </body> เป็น tag ที่บอกถึงลักษณะต่าง ๆ ของเอกสารฉบับนี้ ซึ่งใน Body จะมีAttributes ต่าง ๆ ได้แก่ BGCOLOR (หมายถึงการกำหนดสีพื้นด้านหลังของเอกสาร) , TEXT (หมายถึงการกำหนดสีของตัวอักษรในเอกสารเป็นต้น

3.              การบันทึกแฟ้ม
ไฟล์ของโปรแกรม HTML เป็นแท็ก ไฟล์ธรรมดา ที่ใช้ นามสกุลว่า .htm หรือ .html โดย เมื่อเรา เขียน คำสั่งต่าง ๆ ลงใน โปรแกรม Notepad แล้วเราจะ Save ให้เป็น นามสกุลดังกล่าว ถ้าไม่เช่นนั้น จะไม่สามารถแสดงผลได้ทางบราวเซอร์และถ้ามีการแก้ไขหรือเขียนโปรแกรมเราก็สามารถใช้โปรแกรมNotepadนี้เป็นตัวแก้ไขได้เละสำหรับไฟล์ที่จะเป็นHomePageให้บันทึกชื่อ ว่า index.htm    หรือ  index.html เสมอ
(ไม่ควรบันทึกแฟ้มโดยใช้ชื่อเป็นภาษาไทย)
4.              การแสดงผลโปรแกรม
        เมื่อบันทึกไฟล์ที่มีนามสกุล .htm  หรือ .html  แล้ว  สามารถเปิดแสดงผลจากโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่มีในเครื่องได้เลย  เช่น โปรแกรม Internet Explorer

5.              การกำหนดพื้นหลัง (background)
5.1  กำหนดสีพื้นหลัง











5.2 กำหนดภาพพื้นหลัง
6.              การใส่ข้อความลงในโฮมเพจ
Text Box: <html>
<head>
<title>การใส่ข้อความลงในโฮมเพจ</title>
</head>
<body>
ข้อความที่ต้องการ
</body>
</html>
การใส่ข้อความลงในโฮมเพจสามารถใส่ลงไประหว่าง <body> .... </body> ได้เลย  ดังตัวอย่างด้านล่าง

7.              จัดตำแหน่งข้อความ
7.1                   คำสั่งสำหรับขึ้นบรรทัดใหม่
ใช้คำสั่ง <br> วางไว้ท้ายข้อความที่ต้องการ Web browser จะแสดงผลข้อความต่อจากนั้นในบรรทัดต่อไป

7.2                   คำสั่งย่อหน้า
Text Box: <p>    ข้อความ      </p>





7.3                   คำสั่งสำหรับจัดตำแหน่งของย่อหน้า





Text Box: <p align="ตำแหน่ง">    ข้อความ      </p>
       left =ชิดขอบซ้าย   เช่น                         <p align="left">   ข้อความ          </p>
right = ชิดขอบขวา เช่น                           <p align="right">   ข้อความ        </p>
center = กลางหน้ากระดาษ  เช่น           <p align="center">   ข้อความ      </p>


8.              การตกแต่งตัวอักษร
8.1       การกำหนดขนาดตัวอักษร
        คำสั่งที่ใช้สำหรับกำหนดขนาดตัวอักษร โดยการเติมตัวเลข -1 ถึง +7 โดยเลข -1 จะเล็กที่สุด
 และ +7 จะมีขนาดใหญ่ที่สุด
Text Box: <font size="ขนาดตัวอักษร">  ตัวอักษร   </font>

8.2      การกำหนดชนิดตัวอักษร
Text Box: <font face="ชนิดตัวอักษร"> ตัวอักษร   </font>

8.3      การกำหนดสีตัวอักษร
<font color="color"> ตัวอักษร   </font>
 





8.4       การกำหนดตัวเอียง ตัวหนา และ ตัวขีดเส้นใต้
<b>ตัวอักษรหนา</b>
<i>ตัวอักษรเอียง</i>
<u>ตัวอักษรถูกขีดเส้นใต้</u>
 






9.              คำสั่งขีดเส้นคั่น
Text Box: <hr> คือคำสั่งที่ใช้สำหรับขีดเส้นใต้
<hr width="ความยาว">
<hr size="ความหนา">
<hr align="ตำแหน่ง">
<hr color="Code สี">


10.       
Text Box: <img src="ชื่อรูปภาพ.นามสกุลภาพ">
คำสั่งแสดงรูปภาพ


<img src="logo.gif">   ในกรณีที่อยู่ใน directory (folder) เดียวกัน สามารถกำหนดชื่อ file ลงไปได้เลย
<img src="http://www.siamclub.com/logo.gif">  ในกรณีที่ดึงรูปภาพจากโฮมเพจอื่น จำเป็นต้องใส่ URL ให้ครบถ้วน
10.1            คำสั่งอธิบายรูปภาพ  ใช้สำหรับ อธิบายรูปภาพ เมื่อนำ mouse ไปชี้ที่รูปภาพจะขึ้นคำอธิบาย
Text Box: <img src="URL" alt="คำอธิบาย">

10.2            
Text Box: <img src="URL" align="ตำแหน่งที่ต้องการ">
การกำหนดตำแหน่งของรูปภาพ กับ ตัวหนังสือ


คือคำสั่งสำหรับจัด ตัวหนังสือให้พอดีกับรูปภาพ เช่น รูปภาพอยู่ทางซ้ายตัวหนังสือ ก็จะอยู่ด้านขวา ตัวหนังสืออยู่ด้านซ้ายรูปภาพก็จะอยู่ด้านขวา

10.3           การกำหนดขนาดรูปภาพ
<img src="URL" width="ความกว้าง" height="ความสูง">
 

 โดยมีหน่วยเป็น pixel หรือความกว้างสามารถกำหนดเป็น ของจอภาพเพื่อ ให้เป็นสัดส่วนพอดีกับขนาดจริง


11.       การเชื่อมโยง
11.1            การเชื่อมโยงภายในเอกสาร
<a href="#เป้าหมาย">.....</a> ข้อความที่ต้องการให้เป็น link
<a name="name">.....</a>ใช้สำหรับกำหนดชื่อของตำแหน่งเป้าหมายโดยแทนลงไปในตัวแปรname
 







                        การ link ภายในเอกสาร เหมาะสำหรับ file HTML ที่มีความยาวมากๆ จำเป็นต้องมีการlink ภายในเอกสาร เพื่อไม่ให้ เกิดความยุ่งเหยิง สำหรับการ link ภายในเอกสารมีคำสั่งดังนี้
11.2            การเชื่อมโยงไปโฮมเพจอื่น
<a href="URL"> ข้อความที่ต้องการให้เป็น link  </a>
 





11.3            การ link ไปยัง E-mail
<a href="mailto:E-mail ของเรา">  ข้อความที่ต้องการให้เป็น link    </a>
 






12.       ตาราง
การทำตารางมีประโยชน์ต่อการเขียนโฮมเพจมากเนื่องจากเป็นคำสั่งเดียวที่จะสามารถแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ฝั่งได้ ซึ่งเว็บไซต์ดังๆทั่วโลกนิยมใช้คำสั่งตารางกันมาก รูปแบบคำสั่งคือ
<html>
<head>
<title>พื้นฐานคำสั่งตาราง</title>
</head>
<body>
                      <table>
<tr><th> หัวข้อที่ 1</th><th> หัวข้อที่ 2</th><th> หัวข้อที่ 3</th></tr>
<tr><td> ข้อมูลที่ แถว 1</td><td> ข้อมูลที่ แถว 1</td><td> ข้อมูลที่ 3 แถว1</td></tr>
<tr><td> ข้อมูลที่ แถว 2</td><td> ข้อมูลที่ แถว 2</td><td> ข้อมูลที่ 3 แถว2</td></tr>
<tr><td> ข้อมูลที่ แถว 3</td><td> ข้อมูลที่ แถว 3</td><td> ข้อมูลที่ 3 แถว3</td></tr>
      </table>
</body>
</html>